วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ฟักแม้ว (Chayote)

ฟักแม้ว, มะระแม้ว, มะระหวาน, มะเขือเครือ หรือ ชาโยเต้ (อังกฤษChayote; ชื่อวิทยาศาสตร์ Sechium edule) เป็นไม้เถาวงศ์แตง(Cucurbitaceae) ผลและยอดอ่อนรับประทานได้
ใช้ ผล ใบ และรากประกอบอาหาร แต่ก็สามารถรับประทานลำต้นและเมล็ดได้ ในประเทศไทยนิยมรับประทานยอดซาโยเต้ผัดน้ำมันหอย
ผล สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก มีรสชาติคล้ายอาร์ติโช๊ค หรือมันฝรั่ง สามารถนำมาตำส้มตำแทนมะละกอก็ได้ เพราะเนื้อหวานกรอบ นำมาหั่นฝอยหรือสไลด์เป็นแผ่นผัดกับไข่ หรือผัดน้ำมัน หวานอร่อย ราก ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้ง ใช้ต้มหรือผัด ใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ ผลและเมล็ด ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญหลายชนิด และวิตามินซี ใบและผล ใช้ดองยา มีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจและหลอดเลือด แก้อักเสบ น้ำต้มใบและผล ใช้ในการรักษาอาการเส้นเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง และสลายนิ่วในไต ชาวกะเหรี่ยงนำยอดอ่อนและผลไปผัด แกง หรือลวกจิ้มน้ำพริก 
ฟักแม้ว มีชื่อเรียกอื่นๆ แตกต่างกันตามท้องถิ่น ได้แก่ มะเขือเครือ มะเขือนายก ฟักม้ง มะเขือแม้ว มะเขือฝรั่ง แตงกะเหรี่ยง มะระหวาน มะระญี่ปุ่น ฟักญี่ปุ่น

ผัดฟักแม้วใส่กุ้ง
- ฟักแม้ว 2 ลูก
- กุ้ง 15 ตัว
- กระเทียม
- น้ำมันหอย
- ซอสถั่วเหลือง
- ไข่ไก่ 2 ฟอง



วิธีทำ
1. หั่นฟักเป็นชิ้นบาง ไม่ต้องบางมาก
2. ทุบกระเทียม เจียวกับน้ำมันตีไข่ไใส่ 2 ฟอง ผัดจนไข่พอสุก เติมผัก น้ำมันหอย ซอส ปิดฝาให้ผักพอนิ่มไม่ต้องสุกมาก 
ผัดนานเกินไปผักจะนิ่มไม่กรอบ เติมกุ้ง แล้วก็ผัดต่อ ชิมๆ น้ำตาลไม่ต้องผักหวานอยู่แล้ว

Cr Pui.Lub บ้านมหาดอทคอม และ wikipidia

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เห็ดเข็มทอง ( Enokitake หรือ The Golden Mushroom )






เห็ดเข็มทอง มีชื่อสามัญว่า Enokitake หรือ The Golden Mushroom สามารถขึ้นได้ในสภาพเย็นจัด สามารถทนอยู่ในสภาพที่เป็นน้ำแข็งจนน้ำแข็งละลาย จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า The Winter Mushroom ปกติจะมีดอกขนาดเล็กและสั้น แต่ที่วางขายในตลาดทั่วไปจะมีดอกเล็ก ลำต้นยาว เป็นกระจุกผิดไปจากที่พบเห็นในธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปริมาณและน้ำหนักที่ดีและสะดวกในการบรรจุ จำหน่าย เป็นเห็ดที่มีการพัฒนามานานมาก โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น มีการวิจัย พัฒนาสายพันธุ์และวิธีการเพาะเห็ดชนิดนี้อย่างกว้างขวาง จึงเป็นผู้ผลิตเห็ดเข็มทองรายใหญ่สุดของโลก เห็ดชนิดนี้สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายประเภท เช่น สุกี้

คุณค่าทางโภชนาการ
โปรตีน 25 % , ไขมัน 1 % , แป้ง 53 % , เส้นใย 12 % , เถ้า 8 % , วิตามินบี 1 , วิตามินบี , วิตามินซี , และ arginine



ตัวอย่างเมนูแนะนำ
Dubin Mushi


ส่วนประกอบ
- หอยตลับ 3 ตัว
- มิซุนะ ( ผักชีญี่ปุ่น ) 5 ใบ
- เห็ดเข็มทอง 10 กรัม
- เห็ดหอมสด 1 ดอก
- ต้นหอม 10 กรัม
- มะนาว 1 ซีก
- น้ำซุบ 3 ถ้วยตวง



วิธีทำ
1.ต้มน้ำซุปให้เดือด
2.นำหอยตลับแกะเปลือกให้แง้มออกเล็กน้อย ใส่ลงในหม้อ ตามด้วยเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง ต้นหอม ผักชีญี่ปุ่น แล้วปิดฝาหม้อ
3.ตักใส่ถ้วย จัดเสริฟพร้อมมะนาว

-------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กลอย ( Kloi )

ชื่อพื้นเมือง :
กลอย มันกลอย (ทั่วไป), กลอยข้าวเหนียว กลอยหัวเหนียว (นครราชสีมา), กลอยนก กอย (ภาคเหนือ), คลี้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะ :

ไม้เถา เลื้อยพันไปบนต้นไม้อื่น ส่วนของลำต้นที่อยู่เหนือดินมีขนและหนาม ใบประกอบเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ปลายแหลม โคนสอบแคบ แผ่นใบกว้าง ดอกแยกเพศ ดอกเพศผู้ไม่มีก้าน อัดรวมกันแน่นบนช่อดอก มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียเรียงกันอยู่ห่างๆ บนช่อดอก ไม่มีก้านดอกเช่นกัน ผลยาวประมาณ 5 ซม. มี 3 ครีบ เมล็ดมีปีกเฉพาะที่โคน หัวค่อนข้างกลม ส่วนบนและส่วนล่างแบน ไม่ฝังลึกลงในดิน ส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินมักเป็นลอนตื้นๆ หัวมีขนาดต่างๆ กัน ผิวสีฟางหรือเทา เนื้อในสีขาวถึงขาวนวล

ประโยชน์ :

หัวกลอยใช้เป็นอาหารได้ ก่อนนำมากินจะต้องล้างสารพิษออกให้หมด โดยฝานหัวกลอยเป็นชิ้นบางๆ นำมาแช่ในน้ำเกลือแล้วถ่ายน้ำทิ้งหลายๆ ครั้ง หรือแช่ในน้ำไหลเพื่อให้น้ำชะล้างสารพิษออกให้หมด เพราะ dioscorine เป็นแอลคาลอยด์ที่ละลายได้ดีในน้ำ ชาวป่าบางเผ่านำน้ำที่คั้นจากหัวกลอยมาผสมกับยางของต้นน่อง (Antiaris toxicaria Lesch.) อาบลูกดอกเพื่อใช้ยิงสัตว์ ในหัวกลอยยังมีแป้งในปริมาณสูง ในอินเดียนำมาเตรียมเป็นแป้งในทางอุตสาหกรรม


--------------------------------------------------------


ตำลึง (Coccinia)


ชื่ออื่น

ผักตำลึง ผักแคบดอกตำลึง เดี่ยวออกที่ซอกใบ ออกเดี่ยว ๆหรืออกเป็นกลุ่ม 2-3 ดอก ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นรูปกรวยปลายแยกมีลักษณะเรียวแหลม หนา 0.4-0.5 เซนติเมตร เป็นรูประฆัง กลีบดอกมี 5 กลีบ สีขาว ติดกันเป็นรูประฆัง ปลายแยกมีขนาด 2-4 เซนติเมตร เกสรตัวผู้มี 3 อัน มีขนปกคลุม ดอกเพศเมียแตกต่างจากดอกเพศ-ผู้คือ มีเกสรตัวเมีย 1 อัน เกสรตัวเมียแยกเป็น 3-4 แฉก รังไข่ติดกับฐานรองดอกอยู่ใต้ฐานรองดอกแบบ inferior ผล เป็นแบบ berrryผลอ่อนสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงสด เมื่อแก่รูปร่างแบบทรงขนานขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 5-7 เซนติเมตร ภายในมีเมล็ดมากรูปไข่กับแกมขนานแบน มีขนปกคลุม มี aril สีแดงสดหุ้ม ไม่มี endosperm กว้าง 0.3 เซนติเมตร ยาว 0.7 เซนติเมตร ออกดอกระหว่างเดือนเมษายน - ธันวาคมและติดผลเดือนมิถุนายน-มกราคม


การขยายพันธุ์

โดยใช้เมล็ดและตัดชำลำต้น ผลตำลึงดิบ


ลักษณะทั่วไป

ไม้เถา ลำต้น เลื้อยพันอาศัยมือเกาะซึ่งเป็นเส้นกลม ๆ สีเขียวยาว 12-14 เซนติเมตร ของอคล้านลวดสปริง เป็นเส้นเดี่ยวไม่แตกแขนง ออกตรงกันข้ามกับใบ ใบ เดี่ยวเรียงสลับ ฐานใบรูปหัวใจ ปลายใยแหลมขอบในหยักแบบฟันเลื่อยตื้น ๆ หยักเว้าห้าแฉก เส้นใบแยกจากโคนใบที่จุดเดียวกัน 5-7 เส้น ใบกว้าง 3-4 เซนติเมตร ดอก เป็นดอก


ระบบนิเวศวิทยาและการแพร่กระจาย

พบขึ้นทั่วไปตามชายทุ่งริมทาง ตามรั้ว ขึ้นพันต้นไม้อื่นทั่วไป ประโยชน์และความสำคัญทางสมุนไพร ใบและเถามีเอ็นไซม์amylase ย่อยแป้งซึ่งทำให้มีอาการท้องอืดเฟ้อ ลดน้ำตาลในเลือดใบเถา ผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง แก้ปัญหาเบาหวาน ลดผื่นคัน ปวดแสบร้อน ใบตำลึงสดล้างสะอาด ตำให้แหลก ผสมน้ำทา ใช้พอกทางอาหาร ใบ เถา ผลอ่อน ต้ม ดอง เป็นผักจิ้ม ใบลวกจิ้ม ปรุงแกงจืดหมูสับ แกงเลียง หรือใส่ก๋วยเตี๋ยว แทนถั่วงอก คุณค่าทางอาหารสูง วิตามินเอ แร่ฐาตุ แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก ราก มี lupeolacetete , ?-amyrin acetate, ? sitosterol น้ำยาง มีเอนไซม์amylase ผลมี lupeol ? amyrin และcucurbitacin

--------------------------------------------------

ตำลึงผัดหนำเลี้ยบ

เครื่องปรุง
ผักตำลึง 1-2 กำมือ(แล้วแต่ความชอบ)
หนำเลี้ยบ 7 ผล
เนื้อหมูสับ 2 ขีด
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช ¼ ถ้วยน้ำปลา
น้ำตาลทราย

วิธีทำ
เมื่อเตรียมส่วนผสมพร้อมแล้ว ก็เริ่มด้วยการเด็ดตำลึงให้ได้ปริมาณพอเหมาะ จากนั้นบี้เอาเม็ดหนำเลี้ยบออกแล้วสับเนื้อหนำเลี้ยบรวมกับเนื้อหมูสับจนละเอียดเข้ากันนำกระทะตั้งไฟ เจียวกระเทียมสับกับน้ำมันจนเหลืองหอม ใส่หมูสับที่สับผสมหนำเลี้ยบแล้วลงไปผัดจนสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทรายตามความชอบ จากนั้นใส่ตำลึงลงไปผัดพอสุก

-----------------------------------------------------------

น้ำตำลึง

ส่วนผสม
ใบตำลึง 20 กรัม
น้ำเชื่อม 30 กรัม
น้ำมะนาว 10 กรัม
น้ำต้มเปล่าสุก 200 กรัม
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม

วิธีทำ
นำใบตำลึงมาล้างให้ สะอาดแล้วหั่นใส่เครื่องปั่น ใสน้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด นำไปกรอง ใส่น้ำที่เหลือคั้นเอา แต่น้ำ นำน้ำที่ได้ไปใส่เกลือ น้ำมะนาว น้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ

--------------------------------------------------

ผักเสี้ยน (CLEOMACEAE)

ชื่ออื่น

ผักเสี้ยน ผักเสี้ยนบ้าน ผักเสี้ยนขาว ผักเสี้ยนส้ม ผักเสี้ยนตัวผู้ ดอกผักเสี้ยนไทย

ผลเป็นฝักเรียวยาว 3.8-7 เวนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 มิลิเมตร ฝักแก่จะแตกเป็นแฉก เมล็ด รูปไต ขนาดเล็กคล้ายเมล็ดถั่วเรียงกันอยู่ในฝัก

การขยายพันธุ์
ใช้เมล็ดนิเวสวิทยาและการแพร่กระจาย พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ บริเวณที่ราบ ในสวนดินร่วน ชื้น พบมากในฤดูฝน

ประโยชน์และความสำคัญ
ทางสมุนไพร ต้น แก้โรคโลหิตและระดูเน่าเสียฆ่าพยาธิไส้เดือน แก้พิษแมลงป่องต่อย ใบ แก้ปวดเมื่อย ปวดหู พอกรักษาฝีบรรเทาอาการระคายเคือง เมล็ด ขับปัสสาวะ ฆ่าพยาธิไส้เดือน บรรเทาอาการระคายเคือง ผักเสี้ยนดอก มีรสเปรี้ยวร้อน ช่วยบรรเทาอาการมีเสมหะขับเสมหะ ทางอาหาร ลำต้น ยอด ใบ และดอกอ่อน ใช้ดองรับประทานเป็นผักจิ้ม หรือต้มกับปลา หมู กระดูกหมู เป็นต้น

----------------------------------------------------

ผักเสี้ยนดอง
ส่วนประกอบ
ยอดอ่อน ผักเสี้ยน 1 ก.ก.
เกลือ 1 ถ้วยตวง
ข้าวเหนียวนึ่ง 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย

วิธีทำ
เด็ดแต่ง เอาเฉพาะส่วนอ่อน (ส่วนก้านแข็งจะไม่เอา) ล้างผักให้สะอาด หลายๆน้ำ เอาภาชนะเคลือบ หรือ สเตนเลสมา ใส่ผักลงไปโรยเกลือ 1/2 ถ้วย คั้นนวดผัก จนนิ่ม มีน้ำเขียว ไหลออกมา รินน้ำเขียวทิ้งไป เอาเกลือที่เหลือ น้ำตาล(นิดจริงๆ)และข้าวเหนียวนึ่งสุก ลงอ่างบี้ข้าวเหนียวให้แตกออกจากกัน เคล้าผสมกัน บรรจุในหม้อเคลือบ มีฝาปิดมิดชิด 2 วันก็เปรี้ยวแล้ว

-------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ข้าวโพดหวาน (Sweet Corn)


ข้าวโพดหวาน อยู่ใน ตระกูล Gramineae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับหญ้าหรือข้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zeamays Line var. rugasa หรือ saccharata ข้าวโพดหวานมีคุณประโยชน์มากมาย นอกจากจะใช้รับประทานเป็นผักสดแล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปได้หลาย รูปแบบ เช่น ข้าวโพดหวานบรรจุึกระป๋องทั้งฝัก หรือบรรจุกระป๋องเฉพาะเมล็ด ทำครีมข้าวโพดหวาน ข้าวโพดแช่แข็ง ซึ่งผลิตภัณฑ์ ต่างๆ เหล่านี้ สามารถส่งไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน และกลุ่มประเทศในแถบยุโรป
ข้าวโพดฝักสดจัดเป็นอาหารจำพวกแป้งเช่นเดียวกับข้าว ประกอบด้วยสารอาหารคาร์โบไฮเดรทและไขมันที่เพียงพอ แต่มีปริมาณสารอาหารโปรตีนต่ำ ข้าวโพดมีวิตามินบีต่าง ๆ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และไนอะซินในปริมาณต่ำ รวมทั้งปริมาณแคลเซียมและเหล็กด้วย และพบว่า วิตามินเอ มีเฉพาะในข้าวโพดสีเหลือง
หลายคนคงเคยได้รับรู้มาบ้างแล้วว่า การกินข้าวโพดหวานมีประโยชน์หลายประการ อาทิเช่น บำรุงกระเพาะอาหาร บำรุงหัวใจและปอด ช่วยเจริญอาหาร และขับปัสสาวะ เป็นต้น สำหรับประโยชน์ของข้าวโพดหวานที่มากกว่านั้น เพื่อให้ทุกคนหันมารับประทานข้าวโพดหวาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น การกินข้าวโพดหวานต้ม สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งได้ การต้มทำให้ข้าวโพดหวานปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่บางคนเรียกกันว่า แอนตี้ออกซิแดนท์มาหลายตัว และที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “กรดเฟอรูลิก”(Ferulic acid ) ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่เป็นตัวช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ กรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ของเซลล์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อต่อต้านผลกระทบจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)

-------------------------------------------------------------

ข้าวโพดหวานจานเด็ด

เครื่องปรุง
เมล็ดพริกไทยแห้งสีดำ 3/4 ช้อนชา
พริกแห้ง (แกะเม็ดออกแล้ว) 2 เม็ด
เกลือไอโอดีน 3/4 ช้อนชา
น้ำตาล 1/2 ช้อนชา
ข้าวโพด (แกะเปลือกออก) 3 ฝัก
เนย 75 กรัม
ต้นหอมสับ 1 กรัม


วิธีทำ
1. ผสมเมล็ดพริกไทยแห้ง พริก เกลือและน้ำตาลลงบนกระทะ ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันโดยใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง กระทั่งมีกลิ่นหอม จากนั้นนำไปบดหยาบๆในครก เครื่องบดหรือเครื่องโม่ก็ได้2. หั่นข้าวโพดออกเป็นสามส่วน จากนั้นผ่าตามยาวเป็นสองถึงสามส่วนขนาดเท่าๆกัน(หั่นตามยาวให้เม็ดออกเป็นแผ่น จากซังข้าวโพด)
3. ต้มข้าวโพดในน้ำเดือดประมาณ 8-10 นาที หรือจนกระทั่งข้าวโพดเริ่มอ่อนนิ่ม
4. ละลายเนยบนกระทะใช้ไฟร้อนปานกลาง เมื่อเนยเริ่มเดือดเป็นฟอง นำต้นหอมและเครื่องปรุงพริกไทยลงไปผัดประมาณ 10 วินาที ตักใส่ชามเล็ก และนำไปโรยหน้าข้าวโพด

---------------------------------------------------------

ซุปข้าวโพด
ส่วนผสม
1.ข้าวโพดหวาน 1 ถ้วย
2.นมสด 1 กล่อง
3.หอมหัวใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
4.ไข่ขาว 1 ฟอง

วิธีทำ
1.นำข้าวโพดและนมสด ปั่นเข้าด้วยกันจนละเอียด และนำไปกรองบนตะแกรง
2.เมื่อกรองผ่านตะแกรงจะได้ข้าวโพดผสมกับนม นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ ระหว่างตั้งไฟให้คนไปเรื่อย ๆ เพื่อกันการจับตัวเป็นก้อน
3.เมื่อเริ่มเดือดให้ใส่ไข่ขาวตีละเอียดและกรอง พร้อมกับหอมหัวใหญ่ลงไปด้วยค่ะ และคนไปเรื่อย ๆ จนซุปเริ่มข้นดี ใส่เกลือนิดหน่อย ก็ใช่ได้เลย
-------------------------------------------------------

กระถิน (Lead Tree)



กระถินเป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ถึงไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 เมตร ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา ใบ ประกอบแบบ ขนนกสองชั้น เรียงสลับ ก้านแขนงสั้น มีขน ใบย่อย เรียงตรงข้าม รูปแถบหรือรูปขอบขนานแกมรูปแถบ ปลายแหลม โคนเบี้ยว ขอบมีขน ท้องใบสีนวล ดอก ออกเป็นช่อ ช่อดอกออกแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามง่ามใบ ช่อเป็นฝอยนุ่มมีกลิ่นหอมเล็กน้อย ผล เป็นฝัก ฝักออกเป็นช่อแบนยาว เห็นเมล็ดเป็นจุดๆ ในฝักตลอดฝัก
-------------------------------------------------

คุณค่าอาหาร

ยอดกระถินอ่อน 100 กรัม ให้พลังงาน 80.7 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย เส้นใย 3.8 กรัม แคลเซียม 137 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม เหล็ก 9.2 มิลลิกรัม วิตามินเอ 7,883 IU. วิตามินบี1 0.33 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.09 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.7 มิลลิกรัม วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
--------------------------------------------------------

แกงส้มผักกระถิน

ส่วนผสม
ยอดกระถิน 1 กำ
ไข่ไก่ 2 ฟอง
น้ำมันพืช
น้ำพริกแกงส้ม 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย
น้ำซุปผัก หรือน้ำซุปไก่ 1 ถ้วยโตๆ
น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา

วิธีทำ
ตีไข่ เด็ดยอดกระถินใส่ลงไป เอาลงเจียวก่อน เสร็จแล้วตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม เอาน้ำซุปใส่หม้อตั้งไฟ ละลายน้ำพริกแกงส้มใส่ลงไป ต้มให้เดือด จึงเอาไข่เจียวกระถินใส่ลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ชิมรสให้เปรี้ยว เค็ม หวาน ตามใจชอบ
----------------------------------------------------------

หอยนางรมน้ำมันหอย

เครื่องปรุง
หอยนางรม 3 ขีด (ตัวใหญ่ดีกว่าตัวเล็ก)
กระเทียมสับ 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมัน
ยอดกระถิน

วิธีทำ
1. ล้างหอยนางรมแล้วผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ เอาน้ำมันใส่กระทะผัดหอยนางรมพอสุก ปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว อย่าผัดนานเพราะน้ำจะออกเยอะ แล้วตักออก ราดหน้าด้วยน้ำมันหอย พักไว้
2. เอาน้ำมันใส่กระทะอีกครั้งคราวนี้เจียวกระเทียมพอเหลืองอย่าให้กรอบหรือไหม้จะทำให้ขม ปิดไฟก่อน
3. คราวนี้เอาหอยลงคลุกในกระทะ อย่ารินน้ำหอยลงไปด้วย ตักใส่จานที่รองเอาไว้ด้วยยอดกระถิน เวลากินกินแกล้มไปพร้อมกัน
-----------------------------------------------------------